ชั้นหนังสือ
| หนังสือใหม่
| ทักทาย | ชื่อหนังสือ
| ตั้งกระทู้|
พูดคุย |จดหมาย
บทที่
1 ประสบการณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดขึ้นตอนผมอายุประมาณ 12 ปี เมื่อพ่อของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มีนิสัยชอบ สะสมแสตมป์ ทำให้ผมและเพื่อนพลอยชอบสะสมแสตมป์ตามไปด้วย ผมเลือกทำงานพิเศษเป็นเด็กส่งน้ำ ในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งห่างจากบ้านแค่สองช่วงตึกเพื่อหาเงินไปซื้อแสตมป์ การอ่านนิตยสารเกี่ยวกับแสตมป์ ทำให้รู้ว่าราคาแสตมป์จะสูงขึ้นตลอดเวลา ไม่นานหลังจากนั้น ความสนใจของผมก็เปลี่ยนจากความสุข จากการสะสมแสตมป์ ไปสู่สิ่งที่แม่ (ซึ่งเป็นนักค้าหุ้น) เรียกว่า โอกาสทางการค้า แทน ในบ้านผม ไม่มีวันที่คุณจะไม่คิดถึงเรื่องของโอกาสทางการค้า เพราะเรื่องที่เราคุยกันส่วนมากบนโต๊ะอาหารช่วงปี 2513 นั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจทั้งสิ้น เช่น ถามว่า ขณะนี้ประธานธนาคารชาติกำลังทำอะไรอยู่? และสิ่งที่พวกเขา ทำลงไปจะส่งผลกับระบบเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่าไร ? หรือถกเถียงกันเรื่องวิกฤตการณ์น้ำมัน บริษัทไหนน่าลงทุน และหุ้นตัวไหนที่น่าซื้อ เป็นต้น ในช่วงนั้น ภาวะเศรษฐกิจเมืองฮูสตันกำลังดีวันดีคืน จึงพลอยทำให้ตลาดของสะสม คึกคักตามไปด้วย แสตมป์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ราคาสูงขึ้นทุกวัน ในฐานะนักสะสมแสตมป์คนหนึ่ง ผมมองเห็นโอกาสดีๆ รออยู่ข้างหน้า ผมกับเพื่อนมีแสตมป์ที่ซื้อมาจากงานประมูลบ้างแล้ว เมื่อผมเรียนรู้ว่าไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น นักจัดประมูลทำการประมูลก็เพื่อหวังค่าธรรมเนียม เป็นต้น ดังนั้น ถ้าผมอยากขายแสตมป์ ทำไมผมจะต้องเสียเงิน ให้นักจัดประมูล สู้จัดเองไม่ดีกว่าหรือ เพราะนอกจากจะทำให้รู้เรื่องแสตมป์มากขึ้นแล้ว ยังได้เงินจากค่าธรรมเนียม อีกด้วย นี่คือก้าวแรกของการร่วมทุนทำธุรกิจ สิ่งแรกที่ผมทำก็คือ ชักชวนบรรดาเพื่อนบ้านให้มาลงชื่อและฝากแสตมป์ที่ต้องการนำออกประมูลไว้กับผม หลังจากนั้น ผมก็ลงโฆษณา แสตมป์ของเดลล์ ในวารสารแสตมป์ของลินน์ (Linns Stamp) ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับการซื้อขาย แสตมป์ หลังจากนั้น ผมทำใบปิดโฆษณาจำนวน 12 หน้าจากเครื่องพิมพ์ดีดด้วยการจิ้มที่ละตัวอักษร (ในตอนนั้น ยังพิมพ์ดีดไม่เป็น และยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์) และส่งจดหมายออกไป ผลที่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมมาก เนื่องจากสามารถทำเงินได้มากถึง 2,000 ดอลลาร์จาการขายครั้งนี้ และเรื่องนี้กลาย เป็นบทเรียนสำคัญบทแรก ที่ทำให้ผมมองเห็นประโยชน์จากการส่งตรงแบบไม่ผ่านคนกลาง นอกจากนั้น ผมยังเรียนรู้ อีกว่าถ้าคุณมีความคิดดีๆ แล้ว ผลที่ได้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป มองเห็นรูปแบบบางอย่างไม่นานหลังจากนั้น เมื่ออายุ 16 ปี ผมเริ่มทำงานช่วงปิดเทอมโดยสมัครเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ให้ฮูสตันโพส และมองเห็น โอกาสดีที่ต้องฉวยเอาไว้ให้ได้อีกครั้ง เมื่อเจ้าของหนังสือพิมพ์ส่งรายชื่อผู้ที่ขอติดตั้งโทรศัพท ์ใหม่ในเมืองนั้นทั้งหมด ให้กับคนขายทุกคน และแนะนำให้โทรศัพท์ไปชักชวนให้เป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ เรื่องนี้สะดุดใจผมมาก เพราะเป็นวิธี เข้าถึงลูกค้าที่ดี เมื่อทำไปได้สักพัก ผมเริ่มมองเห็นรูปแบบบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อพบว่ามีคนอยู่สองประเภทที่สมัครเป็นสมาชิก กับหนังสือพิมพ์คือ คนที่เพิ่งแต่งงาน และคนที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ เมื่อรู้อย่างนี้ ผมก็ถามตัวเองว่า ทำอย่างไรจึงจะมีข้อมูลของคนที่กำลังย้ายบ้านหรือกำลังจะแต่งงาน? ผมเที่ยวถามไปทั่ว ในที่สุดผมก็รู้ว่าคนที่กำลังจะแต่งงาน จะพากันไปที่อำเภอเพื่อจดทะเบียน และให้ที่อยู่กับทางอำเภอ ไว้เพื่อให้ทางอำเภอส่งใบทะเบียนสมรสไปให้ทางไปรษณีย์ ในมลรัฐเทกซัส ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสาธารณะที่เปิดเผยได้ ผมจัดการจ้างเพื่อนสองสามคนของผม ให้เก็บรวบรวมรายชื่อคนที่เพิ่งแต่งงานใน 16 เขตรอบๆ เมืองเทกซัส ทั้งหมดไว้ทันที ต่อมาไม่นาน ผมเจอบริษัทแห่งหนึ่งที่รวบรวมรายชื่อคนที่ยื่นเรื่องขอกู้เงินซื้อบ้านไว้ทั้งหมด รายชื่อเหล่านี้ถูกจัด ตามจำนวนเงินที่ขอกู้ ทำให้คุณแยกแยะได้ชัดเจนว่าแต่ละรายมีเงินมากขนาดไหน ดังนั้น ผมจึงพุ่งความสนใจ ไปยังกลุ่มที่มีเงินมากเป็นอันดับแรก และเขียนจดหมายส่วนตัวถึงพวกเขาและขอให้พวกเขาสมัครเป็นสมาชิก หนังสือพิมพ์ ทำมาได้แค่นี้ ก็ถึงเวลาเปิดเทอม ผมต้องกลับไปเรียนอีกครั้ง แม้ว่าการเรียนจะสำคัญมากขนาดไหนก็ตาม แต่ผมกลับ คิดว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการหาเงินของผมไปแล้ว เนื่องจากผมได้สร้างระบบที่ดีขึ้นมาแล้ว และไม่อยากทิ้งมันไปเฉยๆ ดังนั้น ผมจึงเลือกทำงานพิเศษในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และช่วงหลังเลิกเรียนต่อไป ยอดสมัครหนังสือพิมพ์ของผม เพิ่มขึ้นเป็นพันๆ คน วันหนึ่ง ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์และวิชาเศรษฐ์ศาสตร์มอบหมายงานอย่างหนึ่งให้ โดยให้พวกเราทุกคนต้องแจ้ง รายการขอคืนภาษีจากรัฐบาล ผมกรอกรายได้จากการขายหนังสือพิมพ์ประมาณ 18,000 ดอลลาร์ลงไป ตอนแรก ครูให้ผมแก้ไขตัวเลขใหม่ เพราะคิดว่าใส่ตัวเลขผิด แต่เมื่อผมยืนยันว่าไม่ผิด ทำให้ครูหัวเสียไปเลย เพราะจำนวนเงินที่ผมหาได้นั้นมากกว่ารายได้ของครูเสียอีก เข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์หมดจากเรื่องแสตมป์ คอมพิวเตอร์ก็เข้ามาเป็นงานอดิเรกชิ้นใหม่ของผมแทน ที่จริง ผมสนใจคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ตอนที่ผมซื้อเครื่องคิดเลขเครื่องแรกด้วยความอยากรู้ว่ามันทำงานได้อย่างไร ตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบแล้ว ช่วงเรียนชั้น ประถม ผมชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และเข้าเป็นสมาชิกสโมสร นัมเบอร์เซ็นส์ ที่ทุกคนต้องหัดคิดโจทย์ คณิตศาสตร์ยากๆ ภายในใจและเข้าแข่งขันทางคณิตศาสตร์ด้วย ตอนที่มิส ดารบี้ ครูฝึกสอนคนหนึ่งซึ่งสอนวิชา คณิตศาสตร์พกเครื่องพิมพ์แบบเทเลไทฟ์มาใช้ และบอกทุกคนว่า ใครที่อยากเล่นเครื่องนี้เพื่อเขียนโปรแกรมต่างๆ จะได้เล่นก็ต่อเมื่อหลังเลิกเรียนแล้วเท่านั้น ทำให้ผมทึ่งกับความสามารถของเครื่องนี้เป็นอย่างมาก ผมเริ่มป้วนเปี้ยนใกล้ๆ เครื่องเรดิโอแชคและคอมพิวเตอร์บ่อยขึ้น และเริ่มเก็บเงินเพื่อซื้อให้ได้สักเครื่อง ในตอนนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์แอปเปิล เป็นเครื่องที่หาซื้อได้ง่ายที่สุดและมีซอฟต์แวร์มากที่สุด ข้อดีของแอปเปิลก็คือ ใช้งานง่าย แผงวงจรทุกแผงจะมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเอง และเปิดฝาเครื่องได้ง่ายมาก ถ้าสนใจสักนิด คุณจะรู้ได้ทุกอย่างว่า คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างไร นิตยสารไบต์จะมีรายงานอุปกรณ์ใหม่ๆ และอธิบายการทำงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ทำให้คุณสามารถหนังสือข้อมูลเพื่อดูว่าเจ้าชิบเบอร์ 74LS07 ทำหน้าที่อะไร และมีอินพุทและเอ้าพุทอย่างไร ผมยังจำได้ดีถึงตอนที่อ่านบทความเกี่ยวกับดิสก์ ขนาด 5 ¼ นิ้ว เพราะอยากรู้ว่ามันทำงานได้อย่างไร ผมรบเร้าพ่อแม่ของผมซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ผม และในที่สุด พ่อแม่ของผมก็ตัดใจซื้อให้เมื่อผมอายุ 15 ปี ในตอนนั้น ผมยังไม่มีใบขับขี่รถยนต์ แต่ด้วยความอยากได้ ผมขอให้พ่อขับรถไปรับเครื่องที่สำนักงาน ของบริษัท ขนส่งยูพีเอส (UPS) ทันทีที่รถกลับมาจอดที่หน้าบ้าน ผมกระโดดลงไป และอุ้มเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ออกจากรถ ตรงไปที่ห้องนอนเลยทีเดียว และด้วยความอยากรู้ ทันใดนั้นผมก็ลงมือรื้อเครื่องออกเป็นชิ้นๆ ทันที ทันทีที่พ่อและแม่เขามาเห็น ลมแทบจับ เพราะตอนนั้น เครื่องแอปเปิลยังมีราคาแพงมาก พวกเขาคิดว่าผมทำเครื่องเสียแล้วแน่ๆ แต่ผมแค่อยากรู้ว่า มันทำงานอย่างไรบ้างเท่านั้น เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับแสตมป์ หลังจากนั้นไม่นาน ความสนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนจากงานอดิเรก ไปสู่การทำเป็นธุรกิจ ในปี 2524 เมื่อบริษัท ไอบีเอ็มแนะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลออกสู่ตลาด (พีซี) ผมสนใจเจ้าเครื่องพีซี ทันที ขณะที่แอปเปิลมีเกมมากกว่า แต่ ไอบีเอ็ม พีซี ทำงานได้ดีกว่าและมีโปรแกรม สำหรับธุรกิจมากกว่า แม้ว่าผมจะไม่ธุรกิจอะไรมากนั้น แต่ผมก็รู้ว่าเจ้า พีซี ตัวนี้ต้องดังแน่ๆ ในอนาคต ในช่วงนั้น ด้วยความรู้สึกอยากเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ผมซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องพีซี อย่างเช่น เมมโมรี่ ดิสก์ จอภาพขนาดใหญ่ และโมเด็มความเร็วสูง (นี่เป็นสิ่งที่เกิดก่อนที่คอมพิวเตอร์จะมีฮาร์ดดิสก์) ผมเข้าสู่ คอมพิวเตอร์เหมือนกับที่คนอื่นสนใจรถยนต์ นั่นคือ ซื้อมาใช้สักพักแล้วก็ขายมันออกไป ผมทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในไม่ช้า ผมก็เริ่มซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ครั้งละจำนวนมากเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ถูก แม่ของผมบ่นว่า ห้องนอนของผมชักคล้าย กับร้านขายอะไหล่มากขึ้นทุกวัน เหมือนโชคเข้าข้าง ในปี 2525 มีการประชุมของบริษัท เนชั่นแนล คอมพิวเตอร์ คอนเฟอร์เรนซ์ (National Computer Conference) ขึ้นในเดือนมิถุนายน ที่เมือง เอสโทโดม (Astodome) ในเมืองฮูสตัน (สี่เดือนหลังจากผมได้ใบขับขี่รถยนต์) ผมหยุดเรียนในช่วงนั้น เพื่อเข้าไปชมงาน ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกใบใหม่ให้กับผมทีเดียว ผมใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกอยู่ในร้านคอมพิวเตอร์ และพูดคุยกับผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์หลายคน แต่ผมไม่เคย แสดงความสนใจในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เลย ในงานนั้น มีการแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด ก่อนวางตลาด มากมาย ตอนนั้น ผมเห็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 5 เมกกะไบต์เป็นครั้งแรก (ทุกวันนี้ เดลล์ขายคอมพิวเตอร์พร้อม กับฮาร์ดดิสก์ขนาด 18 กิกกะไบต์ ซึ่งจุมากกว่าถึงสามพันเท่า) ผมยังจำได้ถึงตอนเดินเข้าไปชมที่บูท ของบริษัทซีเกตและถามราคา ผมคิดว่าราคาคงอยู่ประมาณสองสามพันดอลลาร์ แต่สิ่งที่เขาตอบกลับมาก็คือ คุณเป็น โออีเอ็ม (OEM) หรือเปล่า? ผมไม่รู้เลยสักนิด คำว่า OEM หมายถึงอะไร ? บทเรียนเกี่ยวกับธุรกิจคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นแล้ว ในที่สุด ผมก็เก็บเงินได้มากพอที่จะซื้อฮาร์ดดิสก์และนำมาใช้ในการติดตั้งบูเลนตินบอร์ด เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิด เห็นกับเพื่อนๆ ที่สนใจคอมพิวเตอร์ และเมื่อเปรียบเทียบราคาเครื่องกับคนอื่นๆ ผมพบว่าช่องว่างระหว่าราคา ที่แท้จริงและราคาขายปลีกต่างกันมากเหลือเกิน โดยปรกติเครื่องไอบีเอ็ม พีซี จะขายในราคาประมาณ 3,000 ดอลลาร์ แต่ส่วนประกอบต่างๆ สามารถซื้อมาประกอบ ได้ในราคาเพียง 600 ถึง 700 ดอลลาร์เท่านั้น และเทคโนโลยีก็ไม่ใช่ของไอบีเอ็มด้วย (ผมรู้ว่าชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ราคาเท่าไร และใครเป็นคนทำชิ้นส่วนพวกนี้ เพราะเคยแยกมันออกเป็นชิ้นๆ และประกอบขึ้นใหม่ด้วยตนเองมาแล้ว) นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่สมเหตุสมผลก็คือ คนที่ขายเครื่องส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน ส่วนมากเคยขายเครื่องเสียง รถยนต์ หรือไม่ก็เป็นพวกอยาก ฟันกำไร จากการขายคอมพิวเตอร์ เสียส่วนใหญ่ ทำให้มีร้านคอมพิวเตอร์ เกิดขึ้นเป็นพันๆ แห่งภายในเวลาอันรวดเร็ว ร้านเหล่านี้ซื้อเครื่องมาในราคาประมาณ 2,000 ดอลลาร์ และขายมันออกไปในราคาประมาณ 3,000 ดอลลาร์ ทำกำไรได้ 1,000 ดอลลาร์ต่อเครื่อง โดยแทบไม่มีบริการให้เลย แน่นอน พวกเขาทำกำไรได้มากทีเดียวจากงานนี้ เพราะความต้องการคอมพิวเตอร์มีมาก มาถึงจุดนี้ ผมซื้อชิ้นส่วนต่างๆ มา และประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้เหมือนกัน และขายให้กับคนที่ผมรู้จัก ในราคาที่ถูกกว่า ผมรู้ดีว่า ถ้าขายได้มากกว่านี้ ผมสู้ร้านขายปลีกได้สบาย และไม่เพียงในแง่ของราคาเท่านั้น แต่ในแง่ของคุณภาพด้วย ถ้าทำได้อย่างนี้ ผมจะได้กำไรพอที่จะนำเงินไปซื้อสิ่งต่างๆ ที่เด็กนักเรียนวัยขนาดผม ต้องการได้ แต่ที่มากไปกว่านั้น ผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสดี ผมทั้งตื่นเต้นและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เช่น สิ่งที่ผมรู้จริงๆ มีอะไรบ้าง ? ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างไร ? และจะเรียนรู้ได้จากที่ไหน ? แต่พ่อและแม่ก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี พวกเขาอยากให้ผมเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน เหมือนพี่ชาย และผมก็ทำตามที่พวกเขาต้องการ อยู่มาวันหนึ่ง ผมออกจากมหาวิทยาลัยด้วยรถ บีเอ็มสีขาวที่ได้จากการขาย หนังสือพิมพ์พร้อมคอมพิวเตอร์สามเครื่องอยู่ท้ายรถ แม่ของผมคงสงสัยมากว่าผมกำลังจะทำอะไรต่อไป แนวคิดดีๆ หยุดชะงักผมตั้งใจเรียนหนังสือด้วยการเข้าเรียนและทำการบ้านทุกครั้ง และไม่เคยคิดชักจูงใครที่กำลังเรียนอยู่ให้เลิกเรียน เพื่อออกมาทำธุรกิจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ชีวิตในชั้นปีที่หนึ่งช่างน่าเบื่อเหลือเกิน เมื่อเปรียบเทียบกับ ความคิด ที่จะออกมาทำธุรกิจด้วยตัวเอง ซึ่งแม้จะไม่เหมือนกับธุรกิจอื่น แต่เป็นสิ่งที่เห็นล่วงหน้าแล้วว่าต้องดีแน่ โชคดี ที่มหาวิทยาลัยเทกซัสมีขนาดใหญ่มาก และข้อดีของการเรียนในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ก็คือ ไม่มีใครสนใจว่าคุณ กำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้น คุณจึงสามารถเล็ดรอดออกมาและไปทำเรื่องอื่นได้โดยไม่มีใครรู้ อย่างเช่นการเริ่มต้นทำธุรกิจ ในสายตาของคนอื่น ผมเป็นคนแปลก ชอบเดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยพร้อมกับหนังสือคอมพิวเตอร์อยู่ในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งเต็มไปด้วยแผงหน่วยความจำ ผมเข้าห้องเรียนเหมือนคนอื่น แต่เมื่อเลิกเรียน จะรีบกลับไปหอ เพื่อประกอบคอมพิวเตอร์ แต่ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่ผมทำก็คือการเคลื่อนย้าย และนักธุรกิจ อย่างเช่น ทนาย หรือหมอ ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ซึ่งจะนำคอมพิวเตอร์มาทิ้งไว้ หรือ รับคอมพิวเตอร์ของตัวเองออกไป เนื่องจากมลรัฐเทกซัสมีการเปิดประมูลแบบทั่วไปซึ่งใครๆ ก็สามารถเข้าประมูลได้ ดังนั้น ผมจึงไปลงทะเบียน เป็นผู้ประมูลเพื่อเข้าร่วมประมูลด้วย เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน ผมจึงสามารถขายเครื่อง ที่มีปะสิทธิภาพสูงได้ในราคาที่ถูกกว่ารายอื่นๆ ผมชนะการเปิดซองประกวดราคาหลายรายการ เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนของปีนั้น (พ.ศ. 2526 ผมอายุ 18 ปี) พ่อและแม่ก็รู้ความจริงว่า ผมไม่เข้าชั้นเรียน และเกรดก็ตกต่ำลงอย่างมาก ดังนั้น ในการแทรกแซงครั้งที่สอง พวกเขาบินมาที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า และโทรให้ผมไปรับที่สนามบิน ผมจึงพอมีเวลารวบรวมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ไปเก็บในห้องน้ำเพื่อนผมก่อน ที่พ่อและแม่จะเดินเข้ามาในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พ่อและแม่ก็สังเกตเห็นว่าการเรียนของผมไม่ได้ก้าวไปไหนเลย พ่อเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนด้วย ลูกต้องเลิกสนใจเจ้าคอมพิวเตอร์พวกนี้ และให้เวลากับการเรียนมากกว่านี้ เขาพูด พูดกันตรงๆ ลูกอยากทำอะไรในชีวิตนี้? ผมอยากแข่งกับไอบีเอ็มครับ ผมตอบ พ่อไม่รู้สึกขำเลย ผมตัดสินใจที่จะหยุดวุ่นวายกับ คอมพิวเตอร์ สักพัก เพื่อเอาใจพ่อแม่ของผม และพยายามหันไปเรียนประมาณ 3 สัปดาห์ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไว้ ผมทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อถึงเดือนธันวาคม ผมก็รู้ตัวดีกว่า ความสนใจของผม เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เป็นงานอดิเรกอีกต่อไป หัวใจผมรู้ดีว่าผมกำลังพบกับ โอกาสทางธุรกิจ ที่ไม่อาจยอมให้ผ่านไปง่ายๆ นี่เป็นเครื่องจักรที่จะส่งผลต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมาก และราคาของมันกำลังถูกลงเรื่อยๆ ผมรู้เสมอว่าถ้าคุณนำเจ้าเครื่องเหล่านี้มาประกอบเข้าด้วยกัน และขายให้กับผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก คนทั่วไป และนักศึกษาแล้ว มันจะกลายเป็นเครื่องจักรแห่งทศวรรษเลยทีเดียว ผมไม่สามารถบอกสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมดในขณะที่อายุ 18 ปีได้ว่า โอกาสครั้งนี้ใหญ่หลวงขนาดไหน ผมไม่รู้ชัดเจนว่า เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปรวดเร็วขนาดไหน แต่ผมรู้ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า ผมกำลังเข้าไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ รายละเอียดทั้งหมด ยังมีสิ่งที่ไม่รู้มากกว่าสิ่งที่รู้ เหมือนกับการขอบเขตของการเข้าไป เหมือนกับว่าจะรักษาเงินทุนอย่างไร จะต้องใช้อะไรบ้าง และธุรกิจจะไปได้มากขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่รู้แน่นอนก็คือ ผมรู้ว่าผมต้องการสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่าไอบีเอ็ม ให้คุณค่า และบริการที่ดีกว่า ด้วยการ ส่งตรง และต้องเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจด้านนี้ให้ได้ ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ยกเว้นพ่อแม่ของผม เพราะอาจถูกหาว่าบ้าก็ได้ ผมรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะเริ่มลงมือทำ โอกาสอันยิ่งใหญ่ผมเห็นโอกาสอีกมากมาย ที่สามารถนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้าช่วยได้ และนี่คือแนวคิดหลักที่ทำให้บริษัท เดลล์คอมพิวเตอร์ เกิดขึ้นมา และเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวผมไว้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยปรกติแล้ว ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตจะสร้างคอมพิวเตอร์ แล้วส่งให้ผู้จัดจำหน่ายนำไปขายกับลูกค้าทั่วไป ในยุคแรกๆ บริษัทอย่างแอปเปิล หรือ ไอบีเอ็ม ขายเครื่องผ่านผู้จัดจำหน่ายเพราะต้องการขายจำนวนมากๆ เมื่อไอบีเอ็มแนะนำเครื่องต้นแบบไอบีเอ็ม พีซี แม้ว่าไอบีเอ็มจะมีพนักงานฝ่ายขายที่ดีเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม แต่ไอบีเอ็มเลือกขายผ่านตัวแทนจำหน่ายเหมือนกับรายอื่นๆ เพราะผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่เกือบทั้งหมด ในตอนนั้นเลือกขายคอมพิวเตอร์ผ่านตัวแทนจำหน่าย คนทั่วไปเชื่อว่าการขายผ่านตัวแทนเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายกว่า แต่การขายผ่านช่องทางนี้ มีพื้นฐานอยู่บนความสัมพันธ์ที่ว่า ลูกค้าไม่รู้จักผู้ผลิต และคนขายส่วนใหญ่ ก็ขาดความรู้ ด้านคอมพิวเตอร์ ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ยืนยาวแน่ เพราะผมเติบโตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ เอกสารเกือบทุกชิ้นของผมเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมไปแล้ว ผมมั่นใจว่า อีกไม่นาน คอมพิวเตอร์จะเข้าไปมีบทบาทในทุกธุรกิจ และทุกโรงเรียนอย่างแน่นอน แม้แต่ในปี 2527 คุณก็พูดได้เต็มปากแล้วว่า สิบปีนับจากนี้ไป จะมีคนเป็นล้านๆ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ สิ่งที่ไม่ชัดเจนในตอนนั้นก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการใช้คอมพิวเตอร์มากถึง 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2008 เท่านั้น แต่จากประสบการณ์ ผมรู้ว่าตลาดมีขนาดใหญ่มากรออยู่ข้างหน้า และรู้อีกว่า ลูกค้าจะเรียกร้องหาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้นทุกๆ ปี ผมเริ่มต้นธุรกิจด้วยคำถามง่ายๆ ว่า จะทำอย่างไรให้ขั้นตอนการซื้อคอมพิวเตอร์ดีกว่านี้ ? คำตอบก็คือ ขายคอมพิวเตอร์ ให้กับลูกค้าโดยตรง กำจัดกำไรส่วนที่เป็นของผู้จัดจำหน่ายออกไป และนำส่วนนี้มอบกลับให้ลูกค้าแทน แนวคิดอย่างนี้ไม่ได้เป็นของผมคนเดียว เนื่องจากใครๆ ก็มองเห็นได้ ผมมั่นใจว่า ถ้ามีเวลาไปสอบถามความคิดเห็น จากคนอื่นๆ สักหน่อย พวกเขาจะบอกว่าแนวคิดของผมใช้ไม่ได้ผล ผมได้ยินเรื่องอย่างนี้มาตลอดสิบห้าปีตั้งแต่ เริ่มทำธุรกิจ บางครั้ง การที่ไม่ไม่ถามหรือฟังความเห็นจากใครก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน เมื่อมีใครบอกว่าคุณทำไม่ได้ ผมจะไม่ค่อย ให้ความสนใจมากนัก และเดินหน้าลงมือทำต่อไปทันที เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการผมกลับไปมหาวิทยาลัยก่อนมีเปิดเทอมในวันที่ 2 มกราคม 2527 และทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเริ่มธุรกิจ ผมจดทะเบียนบริษัทกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเทกซัสด้วยชื่อ PC Limited และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จากสัญญาที่มีก่อนหน้านี้และผลจากการทำโฆษณา ทำให้ผมมีใบสั่งซื้อมากมาย และขายได้ประมาณ 50,000 ถึง 80,000 ดอลลาร์ต่อเดือน จากการขายเครื่องประกอบ อุปกรณ์ต่อพ่วง ให้คนในท้องที่ใกล้เคียง ไม่นานหลังจากเปิดเทอม ผมก็สามารถย้ายจากหอที่แบ่งกันอยู่กับเพื่อนๆ ไปยังคอนโดมีเนียมที่กว้างกว่าและมีสองห้องนอน (ผมไม่ได้บอกพ่อแม่เรื่องย้ายบ้านประมาณสองสามเดือนหลังจากย้ายแล้ว) ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบไล่ปลายปี ผมจดทะเบียนบริษัทใหม่ชื่อ เดลล์ คอมพิวเตอร์ เพื่อดำเนินธุรกิจแทน PC Limited ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์ เราย้ายจากคอนโดมีเนียมไป อยู่สำนักงาน ขนาด 1,000 ตารางฟุตตึกสำนักงานด้านเหนือของออสติน ผมจ้างพนักงานสองสามคน เพื่อรับคำสั่งซื้อ ผ่านระบบโทรศัพท์และอีกสองสามคนสำหรับการประกอบ การประกอบทำโดยคนสามคน นั่งอยู่หน้าโต๊ะขนาด 6 ฟุต พร้อมไขควงอยู่ในมือ ธุรกิจเติบโตไปเรื่อยๆ และผมเริ่มคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องการออกมาทำงานเต็มตัว ผมจะทำอย่างไรดี เพราะการออกจากเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครยอมรับ การชักจูงให้พ่อแม่ยินยอมยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในที่สุด เมื่อเรียนจบชั้นปีที่ 1 ผมตัดสินใจลาออกทันที เมื่อเวลาผ่านไป พ่อและแม่ก็ให้อภัยผมได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ให้อภัยกับท่านทั้งสองเช่นกัน มาถึงตอนนี้ หลายคนถามผมว่า กลัวไหม ตอนนั้น? คำตอบก็คือ กลัวแน่นอน มีใครบ้างที่จะไม่กลัวเรื่องอย่างนี้ ผมกลัวจะทำได้ไม่ดีพอและทำให้บริษัทต้องล้มเหลว แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีของผม เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายมากนัก มหาวิทยาลัยเทกซัส ยอมให้พักการเรียนชั่วคราวได้โดยไม่ต้องถูกไล่ออก สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้ทำลาย โอกาสทางการศึกษาจนหมดสิ้นไปทันที เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียนอกจากเวลา และถ้าธุรกิจไปไม่รอด ผมก็พร้อมที่จะกลับมาเรียนอีกครั้ง และเรียนให้จบตามที่พ่อแม่คาดหวังไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีเวลาไหนที่จะดีไปกว่านี้แล้ว ผมมองเห็นคนที่มีความรู้เริ่มหันมาให้ความสนใจ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนแต่พยายามเสาะหาเครื่องรุ่นใหม่ๆ ที่ทำงานได้รวดเร็วขึ้นตลอดเวลา แต่ไอบีเอ็ม ก็ยังไม่ยอมผลิต เนื่องจากความต้องการเครื่องมากเสียจนผลิตไม่ทัน ทำให้ตัวแทนจำหน่ายที่สั่งจำนวน 100 เครื่องแต่ได้รับจริงเพียง 10 เครื่องเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ได้ตามที่ต้องการ คราวหน้าพวกเขาจะสั่ง 1,000 เครื่องเพื่อที่จะได้ 633 เครื่อง ขณะที่ความต้องการจริงๆ มีเพียง 100 เครื่องเท่านั้น จึงต้องมาพบกับปัญหาเครื่องล้น เกินแทน จนทำให้บางครั้งต้องลดราคาต่ำกว่าต้นทุนเพื่อระบายสินค้าออกไป และก่อให้เกิด ตลาดมืด ตามมา แม้ว่าการประกอบเครื่องขายจะเป็นธุรกิจที่ดีก็ตาม แต่เมื่อผ่านไปแปดถึงเก้าเดือน เราพบว่า การผลิตขาย ด้วยยี่ห้อตนเองดีกว่า เมื่อวันหนึ่ง ขณะกำลังอ่านเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ ผมบังเอิญอ่านพบเรื่องของชิปเซ็ตคอมพิวเตอร์ ซึ่งในตอนนี้ทุกคนรู้จักดีว่ามันคืออะไร แต่ในตอนที่บริษัท โกลเด้น แคมเบลล์ (Goldon Cambell) ก่อตั้งบริษัทชื่อ ชิปแอนด์เทคโนโลยี นั้น เรื่องนี้ถือว่าใหม่มาก เขาเสนอที่จะรวมชิปคอมพิวเตอร์กว่า 200 ตัวที่จำเป็นต้องใช้ ในการผลิตคอมพิวเตอร์แบบไอบีเอ็ม ให้เหลือเพียงห้าหรือหกตัวเท่านั้น โดยเรียกชิปเหล่านี้ว่า ASIC (Application Specification Integrated Circuit) เรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ด้วยการใช้ชิบแบบนี้เพียงไม่กี่ตัวและทักษะทางด้านนี้นิดหน่อยเท่านั้น ก็ทำให้เดลล์สามารถ ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้ด้วยตนเอง (แน่นอน ต่อมาทุกอย่างก็เริ่มซับซ้อนมากขึ้น แต่การเกิดของชิปเหล่านี้ทำให้การเริ่มต้นทำได้ง่ายมาก) ผมได้ชิปมาสามสี่ตัวจากแคมเบลล์ นำมาวางไว้บนโต๊ะ และบอกตัวเองว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จากนั้น ก็ติดต่อตัวแทน ฝ่ายขายของอินเทลเพื่อถามว่า ช่วยบอกผมหน่อยซิว่า แถวนี้มีใครพอที่จะออกแบบ เครื่องคอมพิวเตอร์ ด้วยทำงาน ด้วยระบบซีพียูแบบ 286 ได้บ้าง ผมปรากฏว่า ผมได้รายชื่อประมาณ 6 ถึง 7 คน รวมถึงกลุ่มวิศวกรที่ทำงานกันเป็นทีมอีกด้วย ผมไปพบและอธิบาย ให้พวกเขาฟังว่า ผมต้องการให้พวกเขาช่วยออกแบบคอมพิวเตอร์พีซีให้ ผมถามว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไร? ใช้เวลานานแค่ไหน และมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ? วิศวกรคนหนึ่งชื่อ เจย์ เบลล์ ตอบว่า ผมทำได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ หรืออาทิตย์กว่าๆ ด้วยเงิน 2,000 ดอลลาร์ ฟังดูไม่มากเท่าไร ผมตอบ ผมจะต้องออกไปนอกเมืองประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผมจะให้เงินคุณ 1,000 ดอลลาร์ตอนนี้ และอีก 1,000 ดอลลาร์ตอนที่ผมกลับมา เมื่อถึงวันที่ผมกลับมา เจย์ เบลล์ ก็สร้างคอมพิวเตอร์พีซี ที่ใช้ชิบของอินเทล 286 สำเร็จ พวกเราก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป ชื่อหนังสือ
ส่งตรงจากเดลล์
|